แผงโซล่าเซลล์-1-5.png

การดูแลรักษาแผงโซลาร์เซลล์อย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ระบบของคุณผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ต่อไปนี้คือคำแนะนำหลัก ๆ ในการดูแลรักษาแผงโซลาร์เซลล์ค่ะ


 

1. การทำความสะอาดแผงโซลาร์เซลล์

 

สิ่งสกปรก ฝุ่นละออง คราบมูลนก หรือใบไม้ที่เกาะอยู่บนแผงโซลาร์เซลล์สามารถลดประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าลงได้อย่างมาก

  • ความถี่ในการทำความสะอาด:
    • พื้นที่ทั่วไป: ควรทำความสะอาดอย่างน้อย ทุก 3-6 เดือน
    • พื้นที่ที่มีฝุ่นมาก: เช่น ใกล้ถนนลูกรัง, พื้นที่เกษตรกรรม, โรงงาน, หรือบริเวณที่มีมลภาวะสูง อาจจำเป็นต้องทำความสะอาดบ่อยขึ้น ทุก 1-3 เดือน
    • หลังฝนตกหนัก: หากมีฝนตกหนักช่วยชะล้างสิ่งสกปรกได้บ้าง ก็อาจยืดระยะเวลาการทำความสะอาดออกไปได้
  • วิธีการทำความสะอาด:
    • อุปกรณ์: ใช้น้ำสะอาด (อุณหภูมิปกติ ไม่ควรใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำร้อนจัด) ผสมกับน้ำยาล้างจานเจือจาง (ถ้าจำเป็น) และแปรงหรือฟองน้ำนุ่มๆ ที่มีด้ามจับยาวเพื่อความปลอดภัย
    • ช่วงเวลา: ควรทำความสะอาดในช่วงเช้าตรู่หรือเย็นที่แผงไม่ร้อนจัด เพื่อป้องกันการแตกร้าวของแผง (Thermal Shock) และเพื่อความปลอดภัยของผู้ทำความสะอาด
    • ขั้นตอน:
      1. ราดน้ำสะอาดลงบนแผงเพื่อชะล้างฝุ่นหยาบออกไปก่อน
      2. ใช้แปรงหรือฟองน้ำขัดเบาๆ เพื่อขจัดคราบสกปรกที่ฝังแน่น (หลีกเลี่ยงการใช้แปรงขนแข็งหรือวัสดุมีคมที่อาจทำให้เกิดรอยขีดข่วน)
      3. ล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งจนกว่าจะไม่มีคราบตกค้าง
  • ข้อควรระวัง:
    • ห้ามฉีดน้ำแรงดันสูง: เพราะอาจทำให้แผงเสียหาย หรือน้ำรั่วซึมเข้าแผงได้
    • ห้ามใช้สารเคมีรุนแรง: เช่น น้ำยาทำความสะอาดที่มีฤทธิ์กัดกร่อน เพราะอาจทำลายพื้นผิวแผง
    • ความปลอดภัย: หากต้องขึ้นไปทำความสะอาดบนหลังคา ควรมีอุปกรณ์ป้องกันการตกและให้ผู้เชี่ยวชาญดำเนินการจะดีที่สุด

 

2. การตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์อื่นๆ

 

นอกจากตัวแผงแล้ว อุปกรณ์อื่นๆ ในระบบโซลาร์เซลล์ก็ต้องการการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ

  • อินเวอร์เตอร์ (Inverter):
    • ตรวจสอบสถานะ: ดูไฟแสดงสถานะบนอินเวอร์เตอร์เป็นประจำว่าทำงานปกติหรือไม่ หากมีไฟแจ้งเตือนความผิดปกติ (Error Code) ให้บันทึกและแจ้งช่าง
    • ทำความสะอาดช่องระบายอากาศ: ตรวจสอบว่าช่องระบายอากาศไม่มีสิ่งอุดตัน เพื่อให้อินเวอร์เตอร์ระบายความร้อนได้ดี
    • ตำแหน่ง: ตรวจสอบว่าอินเวอร์เตอร์ยังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ไม่โดนแดดจัดหรือฝนสาดโดยตรง
  • สายไฟและจุดเชื่อมต่อ:
    • ตรวจสอบด้วยสายตา: ตรวจสอบสายไฟทั้งหมดว่าไม่มีร่องรอยการชำรุด ฉีกขาด หรือการถูกกัดแทะจากสัตว์
    • ความแน่นหนา: ตรวจสอบจุดเชื่อมต่อต่างๆ ว่ายังแน่นหนาดี ไม่มีร่องรอยความร้อนสูงผิดปกติ (เช่น สีเปลี่ยน หรือละลาย) ซึ่งอาจเกิดจากการเชื่อมต่อหลวม
  • โครงสร้างการติดตั้ง:
    • ความมั่นคง: ตรวจสอบโครงสร้างเหล็กหรืออะลูมิเนียมที่ยึดแผงว่ายังแข็งแรงดี ไม่มีสนิม หรือการโยกคลอน
    • การยึดติด: ตรวจสอบว่าแผงโซลาร์เซลล์ยังยึดติดกับโครงสร้างอย่างแน่นหนา
  • แบตเตอรี่ (สำหรับระบบ Off-Grid และ Hybrid):
    • ตรวจสอบระดับน้ำกลั่น (สำหรับแบตเตอรี่แบบน้ำ): หากเป็นแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่น ต้องตรวจสอบและเติมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นประจำ
    • ทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่: ทำความสะอาดคราบเกลือหรือคราบสกปรกที่ขั้วแบตเตอรี่
    • อุณหภูมิ: ตรวจสอบว่าแบตเตอรี่อยู่ในบริเวณที่มีอุณหภูมิเหมาะสม ไม่ร้อนจัดหรือเย็นจัดเกินไป
    • ตรวจสอบแรงดัน/สถานะประจุ: หากมีอุปกรณ์ตรวจสอบ ควรตรวจดูแรงดันไฟฟ้าและสถานะประจุของแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ

 

3. การเฝ้าระวังประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า

 

  • บันทึกการผลิต: หากระบบของคุณมีระบบมอนิเตอร์ หรือมีมิเตอร์สำหรับวัดการผลิตไฟฟ้า ควรบันทึกค่าการผลิตเป็นประจำ เพื่อดูแนวโน้มและสังเกตความผิดปกติ
  • เปรียบเทียบกับข้อมูลย้อนหลัง: หากประสิทธิภาพการผลิตลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนๆ หรือเมื่อเทียบกับวันอื่นๆ ที่มีสภาพอากาศคล้ายกัน อาจบ่งชี้ว่ามีปัญหาในระบบ

 

4. การบำรุงรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ

 

แม้ว่าการดูแลเบื้องต้นสามารถทำได้ด้วยตนเอง แต่การตรวจสอบและบำรุงรักษาเชิงลึกโดยผู้เชี่ยวชาญก็เป็นสิ่งจำเป็น

  • ความถี่: ควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบระบบอย่างละเอียด อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
  • สิ่งที่ช่างจะตรวจสอบ:
    • การทำงานของอินเวอร์เตอร์: ตรวจสอบประสิทธิภาพและตั้งค่าต่างๆ
    • การตรวจสอบระบบสายไฟและจุดเชื่อมต่อด้วยอุปกรณ์เฉพาะ: เช่น Thermal Camera เพื่อหาจุดที่มีความร้อนสูงผิดปกติ
    • การทดสอบประสิทธิภาพแผง: ตรวจสอบว่าแผงแต่ละแผงยังผลิตไฟฟ้าได้ตามปกติ
    • การตรวจสอบระบบกราวด์: เพื่อความปลอดภัย
    • การตรวจสอบระบบป้องกันฟ้าผ่าและอุปกรณ์ป้องกันกระแสเกิน/ลัดวงจร

การดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอไม่เพียงช่วยให้ระบบโซลาร์เซลล์ของคุณทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์และป้องกันปัญหาใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วยค่ะ


แผงโซล่าเซลล์-1-4.png

ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและระยะเวลาคืนทุนของระบบโซลาร์เซลล์จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ขนาดของระบบ, ชนิดของระบบ (On-Grid, Off-Grid, Hybrid), คุณภาพของอุปกรณ์ (แผงโซลาร์เซลล์, อินเวอร์เตอร์, แบตเตอรี่), ค่าแรงติดตั้ง, และค่าดำเนินการขออนุญาตต่างๆ ค่ะ

จากข้อมูลที่มีอยู่ สามารถสรุปประมาณการได้ดังนี้:

 

1. ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งโดยประมาณ (สำหรับระบบ On-Grid ที่นิยมใช้ในบ้านและธุรกิจ)

 

ราคาติดตั้งโซลาร์เซลล์มักจะคิดเป็นราคาต่อกิโลวัตต์ (kWp) ซึ่งจะลดลงเมื่อขนาดระบบใหญ่ขึ้น

  • สำหรับบ้านพักอาศัย:
    • ขนาด 3 kWp: ประมาณ 120,000 – 190,000 บาท (เหมาะสำหรับบ้านขนาดเล็ก ใช้ไฟประมาณ 300-500 หน่วย/เดือน)
    • ขนาด 5 kWp: ประมาณ 135,000 – 250,000 บาท (เหมาะสำหรับบ้านขนาดกลาง ใช้ไฟประมาณ 500-800 หน่วย/เดือน)
    • ขนาด 10 kWp: ประมาณ 215,000 – 450,000 บาท (เหมาะสำหรับบ้านขนาดใหญ่ หรือธุรกิจขนาดเล็ก ใช้ไฟมากกว่า 1,000 หน่วย/เดือน)
    • หมายเหตุ: ราคานี้รวมค่าแผง, อินเวอร์เตอร์, โครงสร้างติดตั้ง, ค่าแรง และค่าดำเนินการขออนุญาตเบื้องต้นแล้ว แต่อาจแตกต่างกันไปตามคุณภาพอุปกรณ์และผู้ติดตั้ง
  • สำหรับโรงงาน/ธุรกิจขนาดใหญ่:
    • ขนาด 100 kWp: ประมาณ 1,390,000 – 2,000,000 บาท
    • ขนาด 200 kWp: ประมาณ 2,800,000 – 3,650,000 บาท
    • ขนาด 300 kWp: ประมาณ 4,200,000 – 5,400,000 บาท
    • หมายเหตุ: ราคาสำหรับโรงงานอาจมีปัจจัยเพิ่มเติม เช่น ความซับซ้อนของโครงสร้างหลังคา ระยะทางขนส่ง และแบรนด์อุปกรณ์
  • ระบบ Off-Grid และ Hybrid:
    • จะมีต้นทุนเริ่มต้นที่สูงกว่าระบบ On-Grid อย่างมาก เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายของแบตเตอรี่และอุปกรณ์ควบคุมแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นส่วนที่มีราคาสูงและมีอายุการใช้งานจำกัด

 

2. ระยะเวลาคืนทุนโดยประมาณ (Payback Period)

 

ระยะเวลาคืนทุนคือระยะเวลาที่เงินที่ประหยัดได้จากค่าไฟฟ้าเท่ากับเงินลงทุนในการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์

  • สำหรับระบบ On-Grid (ที่นิยมใช้ในบ้านและธุรกิจ):
    • โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 3 – 7 ปี
    • ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาคืนทุน:
      • อัตราค่าไฟฟ้า: หากค่าไฟฟ้าต่อหน่วยสูงขึ้น ระยะเวลาคืนทุนจะสั้นลง
      • ปริมาณการใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางวัน: ยิ่งใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโซลาร์เซลล์มากในช่วงกลางวัน (ลดการซื้อไฟจากการไฟฟ้า) ระยะเวลาคืนทุนก็จะเร็วขึ้น
      • ขนาดของระบบ: ระบบที่เหมาะสมกับการใช้ไฟฟ้าและมีประสิทธิภาพสูงจะช่วยให้คืนทุนได้เร็ว
      • คุณภาพของอุปกรณ์: อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงและทนทานจะช่วยให้ผลิตไฟฟ้าได้สม่ำเสมอและยาวนาน
      • นโยบายการรับซื้อไฟฟ้าคืน: หากสามารถขายไฟฟ้าส่วนเกินคืนให้กับการไฟฟ้าได้ตามนโยบาย ก็จะช่วยลดระยะเวลาคืนทุนลงได้อีก
  • สำหรับระบบ Off-Grid และ Hybrid:
    • ระยะเวลาคืนทุนจะนานกว่าระบบ On-Grid อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากต้นทุนเริ่มต้นที่สูงของแบตเตอรี่และค่าบำรุงรักษาแบตเตอรี่ในระยะยาว แต่อาจคุ้มค่าในแง่ของความมั่นคงทางพลังงานหรือในพื้นที่ที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง

ตัวอย่างการคำนวณระยะเวลาคืนทุนอย่างง่าย: สมมติว่าคุณติดตั้งโซลาร์เซลล์ระบบ On-Grid ขนาด 5 kWp ด้วยค่าใช้จ่าย 200,000 บาท และสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้เฉลี่ย 3,500 บาทต่อเดือน (หรือ 42,000 บาทต่อปี)

  • ระยะเวลาคืนทุน: 200,000 บาท / 42,000 บาท/ปี ≈ 4.76 ปี

คำแนะนำ: เพื่อการประเมินที่แม่นยำที่สุด ควรให้ผู้เชี่ยวชาญด้านโซลาร์เซลล์เข้ามาสำรวจพื้นที่ ประเมินปริมาณการใช้ไฟฟ้า และออกแบบระบบที่เหมาะสม พร้อมทั้งเสนอราคาและคำนวณระยะเวลาคืนทุนที่ชัดเจนสำหรับกรณีของคุณโดยเฉพาะค่ะ


แผงโซล่าเซลล์-1-3.png

การเลือกประเภทระบบโซลาร์เซลล์ที่เหมาะสมกับบ้านหรือธุรกิจของคุณเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากแต่ละระบบมีหลักการทำงาน ข้อดี และข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ลองมาพิจารณากันดูนะคะ:


 

1. ระบบโซลาร์เซลล์แบบออนกริด (On-Grid / Grid-Tied System)

 

หลักการทำงาน: เป็นระบบที่เชื่อมต่อโดยตรงกับโครงข่ายของการไฟฟ้า (การไฟฟ้านครหลวง หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) เมื่อแผงโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าได้ กระแสไฟจะถูกนำมาใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านทันที หากผลิตได้เกินความต้องการ ไฟฟ้าส่วนเกินจะถูกส่งคืนเข้าระบบของการไฟฟ้า และหากผลิตไม่พอหรือไม่มีการผลิต (เช่น ตอนกลางคืน) ระบบจะดึงไฟฟ้าจากการไฟฟ้ามาใช้โดยอัตโนมัติ

ข้อดี:

  • ประหยัดค่าไฟฟ้าสูงสุด: เป็นระบบที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าได้มากที่สุด เพราะไฟฟ้าที่ผลิตได้ถูกนำมาใช้โดยตรง ลดการซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้า
  • คืนทุนเร็ว: เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับแบตเตอรี่ (ซึ่งมีราคาสูงและมีอายุจำกัด) ทำให้มีต้นทุนเริ่มต้นต่ำกว่าระบบอื่น และระยะเวลาคืนทุนเร็วที่สุด (โดยทั่วไป 3-7 ปี)
  • บำรุงรักษาง่าย: อุปกรณ์น้อยชิ้นกว่าระบบอื่น การดูแลรักษาส่วนใหญ่คือการทำความสะอาดแผง
  • มีไฟใช้ตลอดเวลา: ไม่ต้องกังวลว่าไฟฟ้าจะไม่พอใช้ เพราะมีไฟฟ้าจากการไฟฟ้าเป็นพลังงานสำรองเสมอ
  • สามารถขายไฟคืนได้: ในประเทศไทย มีนโยบายรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินจากการผลิตโซลาร์เซลล์คืนจากการไฟฟ้า (ภายใต้เงื่อนไขและขั้นตอนการขออนุญาตที่กำหนด) ซึ่งช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้กับการลงทุน
  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: ลดการใช้พลังงานฟอสซิล
  • สะดวกสบาย: ระบบทำงานอัตโนมัติ ไม่ต้องคอยควบคุม

ข้อเสีย:

  • ไม่มีไฟฟ้าใช้เมื่อไฟดับจากการไฟฟ้า: เนื่องจากระบบต้องทำงานควบคู่กับการไฟฟ้า หากไฟจากการไฟฟ้าดับ ระบบโซลาร์เซลล์จะหยุดทำงานทันทีเพื่อป้องกันอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ของการไฟฟ้า (Island Protection)
  • มีขั้นตอนการขออนุญาต: ต้องยื่นเรื่องขออนุญาตและดำเนินการตามระเบียบของการไฟฟ้า ซึ่งอาจใช้เวลาและมีค่าใช้จ่ายบางส่วน (เช่น ค่าเปลี่ยนมิเตอร์)
  • ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับการใช้ไฟกลางวัน: หากผลิตไฟได้มาก แต่มีการใช้ไฟกลางวันน้อย ก็อาจไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร (เว้นแต่จะขายไฟคืนได้)
  • ไม่เหมาะสำหรับพื้นที่ห่างไกล: หากพื้นที่ที่ไม่มีโครงข่ายไฟฟ้าเข้าถึง ระบบนี้จะไม่สามารถใช้งานได้

เหมาะสำหรับ:

  • บ้านเรือน, อาคารสำนักงาน, โรงงาน: ที่มีการเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าอยู่แล้ว
  • ผู้ที่ใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในช่วงเวลากลางวัน: (เช่น โรงงานที่ทำงานกลางวัน, ออฟฟิศ)
  • ผู้ที่ต้องการลดค่าไฟฟ้าเป็นหลัก: และไม่กังวลเรื่องไฟดับชั่วคราว
  • ผู้ที่ต้องการคืนทุนเร็ว: และมีงบประมาณเริ่มต้นจำกัด

 

2. ระบบโซลาร์เซลล์แบบออฟกริด (Off-Grid / Stand-Alone System)

 

หลักการทำงาน: เป็นระบบที่ไม่เชื่อมต่อกับโครงข่ายของการไฟฟ้าโดยสิ้นเชิง แผงโซลาร์เซลล์จะผลิตไฟฟ้าและเก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่ เมื่อต้องการใช้ไฟฟ้า ระบบจะดึงพลังงานจากแบตเตอรี่มาใช้ ทำให้สามารถใช้ไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ข้อดี:

  • เป็นอิสระจากระบบการไฟฟ้า: ไม่ต้องพึ่งพาการไฟฟ้า ไม่ว่าไฟฟ้าจะดับหรือไม่ก็ตาม คุณก็จะมีไฟฟ้าใช้ตลอดเวลา (ตราบใดที่แบตเตอรี่มีประจุ)
  • เหมาะสำหรับพื้นที่ห่างไกล: เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ไม่มีโครงข่ายไฟฟ้าเข้าถึง หรือการขยายเขตไฟฟ้ามีค่าใช้จ่ายสูงมาก
  • ไม่มีค่าไฟฟ้ารายเดือน: ไม่ต้องจ่ายค่าไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าอีกต่อไป
  • ไม่ต้องขออนุญาตจากการไฟฟ้า: เนื่องจากไม่ได้เชื่อมต่อกับระบบของการไฟฟ้า จึงไม่ต้องมีขั้นตอนการขออนุญาตที่ซับซ้อน

ข้อเสีย:

  • ต้นทุนเริ่มต้นสูงมาก: เนื่องจากต้องลงทุนกับแบตเตอรี่ (ซึ่งมีราคาสูงที่สุดในระบบ) และอุปกรณ์ควบคุมการประจุแบตเตอรี่
  • แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานจำกัด: แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานประมาณ 3-10 ปี (ขึ้นอยู่กับชนิดและคุณภาพ) และจำเป็นต้องเปลี่ยนเมื่อเสื่อมสภาพ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง
  • ต้องดูแลรักษาแบตเตอรี่: แบตเตอรี่ต้องการการดูแลรักษาเป็นประจำเพื่อให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
  • การผลิตไฟฟ้าขึ้นกับสภาพอากาศ: หากไม่มีแสงแดดหลายวันติดต่อกัน (เช่น ฝนตกหนัก) แบตเตอรี่อาจหมดและไม่มีไฟฟ้าใช้
  • ต้องออกแบบระบบอย่างแม่นยำ: ขนาดของระบบต้องคำนวณให้เหมาะสมกับการใช้ไฟฟ้า มิฉะนั้นอาจมีไฟไม่พอใช้

เหมาะสำหรับ:

  • บ้านพัก, ไร่, สวน, รีสอร์ท: ในพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง หรือไฟฟ้าเข้าถึงยาก
  • ปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์, ระบบไฟส่องสว่างนอกอาคาร: ที่ต้องการพลังงานเฉพาะจุด
  • ผู้ที่ต้องการความเป็นอิสระด้านพลังงานอย่างแท้จริง: และสามารถรับภาระค่าใช้จ่ายในการลงทุนและบำรุงรักษาที่สูงได้

 

3. ระบบโซลาร์เซลล์แบบไฮบริด (Hybrid System)

 

หลักการทำงาน: เป็นการรวมข้อดีของระบบ On-Grid และ Off-Grid เข้าไว้ด้วยกัน โดยจะเชื่อมต่อกับโครงข่ายของการไฟฟ้าและมีแบตเตอรี่สำหรับเก็บพลังงาน แผงโซลาร์เซลล์จะผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ในบ้านเป็นอันดับแรก หากเหลือจะชาร์จลงแบตเตอรี่ หากแบตเตอรี่เต็มและมีไฟเหลืออีก อาจจะส่งคืนเข้าระบบการไฟฟ้า (ขึ้นอยู่กับอินเวอร์เตอร์และข้อกำหนด) ในช่วงกลางคืนหรือเมื่อไฟดับ ระบบจะดึงไฟฟ้าจากแบตเตอรี่มาใช้ก่อน และหากแบตเตอรี่หมดหรือมีกำลังไม่พอ ระบบจะดึงไฟฟ้าจากการไฟฟ้ามาเสริม

ข้อดี:

  • ความยืดหยุ่นสูงสุด: สามารถใช้พลังงานแสงอาทิตย์ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน และยังมีไฟฟ้าจากการไฟฟ้าเป็นพลังงานสำรอง
  • มีไฟฟ้าใช้เมื่อไฟดับ: หากเกิดไฟดับจากการไฟฟ้า ระบบสามารถจ่ายไฟฟ้าจากแบตเตอรี่สำรองได้ (สำหรับโหลดที่กำหนดไว้)
  • ลดค่าไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ: ช่วยลดค่าไฟฟ้าได้มากเช่นเดียวกับระบบ On-Grid และยังสามารถใช้ไฟที่เก็บไว้ในแบตเตอรี่ได้ในเวลากลางคืน
  • เพิ่มความมั่นคงทางพลังงาน: มั่นใจได้ว่าจะมีไฟฟ้าใช้ตลอดเวลา

ข้อเสีย:

  • ต้นทุนเริ่มต้นสูงที่สุด: เนื่องจากต้องลงทุนทั้งอุปกรณ์ของระบบ On-Grid และแบตเตอรี่ รวมถึงอินเวอร์เตอร์แบบไฮบริดที่มีราคาแพง
  • ระบบซับซ้อนกว่า: การติดตั้งและการบำรุงรักษามีความซับซ้อนกว่าระบบอื่น
  • แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานจำกัด: ยังคงมีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบตเตอรี่เหมือนระบบ Off-Grid
  • อาจมีการขออนุญาต: เนื่องจากเชื่อมต่อกับระบบของการไฟฟ้า จึงอาจต้องมีขั้นตอนการขออนุญาตเช่นเดียวกับระบบ On-Grid

เหมาะสำหรับ:

  • บ้านเรือนหรือธุรกิจที่ใช้ไฟฟ้าทั้งกลางวันและกลางคืน: และต้องการลดค่าไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผู้ที่ต้องการความมั่นคงทางพลังงานสูง: ไม่ต้องการให้ไฟฟ้าดับมารบกวนกิจกรรม
  • ผู้ที่ต้องการพลังงานสำรอง: สำหรับอุปกรณ์สำคัญในกรณีไฟดับ
  • ผู้ที่สามารถลงทุนในระยะยาวได้: และยอมรับค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่สูง

สรุปการเลือก:

  • เน้นประหยัดค่าไฟและคืนทุนเร็ว: เลือก On-Grid
  • ไม่มีไฟฟ้าเข้าถึงหรือไม่ต้องการพึ่งพาการไฟฟ้าเลย: เลือก Off-Grid
  • ต้องการความยืดหยุ่นสูง มีไฟใช้ตลอดเวลาแม้ไฟดับ และยอมรับค่าใช้จ่ายได้: เลือก Hybrid

ก่อนตัดสินใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโซลาร์เซลล์ เพื่อประเมินความต้องการใช้ไฟฟ้า, พื้นที่ติดตั้ง, และงบประมาณของคุณอย่างละเอียด เพื่อให้ได้รับระบบที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุดค่ะ


แผงโซล่าเซลล์-1-2.png

การเลือกขนาดแผงโซลาร์เซลล์ที่เหมาะสมกับบ้านหรือธุรกิจของคุณเป็นสิ่งสำคัญมากค่ะ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่ากับการลงทุน มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา ดังนี้ค่ะ

 

1. คำนวณปริมาณการใช้ไฟฟ้า

 

นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการกำหนดขนาดของระบบโซลาร์เซลล์ของคุณ:

  • ตรวจสอบบิลค่าไฟฟ้า: ดูบิลค่าไฟฟ้าอย่างน้อย 6-12 เดือนย้อนหลัง เพื่อหาค่าเฉลี่ยการใช้ไฟฟ้าต่อเดือน (หน่วยเป็น kWh หรือยูนิต) และการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในแต่ละเดือน
    • ตัวอย่าง: หากคุณใช้ไฟฟ้าเฉลี่ย 500 kWh ต่อเดือน คุณจะต้องออกแบบระบบที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 500 kWh ต่อเดือน
  • พิจารณาการใช้ไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลา:
    • กลางวัน: อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ในช่วงกลางวัน (เช่น แอร์, ตู้เย็น, คอมพิวเตอร์, ปั๊มน้ำ) จะเป็นส่วนที่แผงโซลาร์เซลล์ผลิตให้ได้โดยตรง ซึ่งจะช่วยลดค่าไฟฟ้าได้มากที่สุด
    • กลางคืน: หากคุณใช้ไฟฟ้ามากในช่วงกลางคืน (เช่น เปิดแอร์นอน) คุณอาจต้องพิจารณาระบบที่มีแบตเตอรี่ (Hybrid หรือ Off-Grid) หรือยังคงพึ่งพาไฟฟ้าจากการไฟฟ้าอยู่ (On-Grid)
  • แนวโน้มการใช้ไฟฟ้าในอนาคต: หากคุณวางแผนที่จะเพิ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในอนาคต (เช่น ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า, ติดตั้งแอร์เพิ่ม) ควรพิจารณาขนาดระบบที่รองรับการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นด้วย

 

2. ประเมินพื้นที่ติดตั้ง

 

  • พื้นที่บนหลังคา: หลังคาบ้านหรืออาคารเป็นตำแหน่งที่นิยมที่สุดในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์
    • ทิศทาง: หลังคาที่หันไปทางทิศใต้ (ในซีกโลกเหนือ) หรือทิศเหนือ (ในซีกโลกใต้) จะได้รับแสงแดดมากที่สุด
    • เงาบัง: ตรวจสอบว่ามีเงาจากต้นไม้ อาคารใกล้เคียง หรือสิ่งกีดขวางอื่นๆ มาบดบังแผงหรือไม่ เพราะเงาเพียงเล็กน้อยก็สามารถลดประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าของทั้งแผงได้
    • พื้นที่ว่าง: คำนวณพื้นที่ว่างที่สามารถติดตั้งแผงได้ แต่ละแผงมีขนาดประมาณ 1 x 1.7 เมตร ถึง 1 x 2.3 เมตร ขึ้นอยู่กับกำลังวัตต์และชนิดของแผง
  • พื้นที่อื่นๆ: หากหลังคาไม่เหมาะสม อาจพิจารณาติดตั้งบนพื้นดิน (Ground Mount) หรือโครงสร้างอื่นๆ ที่ได้รับแสงแดดเต็มที่

 

3. พิจารณาชนิดของแผงโซลาร์เซลล์

 

  • โมโนคริสตัลไลน์: หากมีพื้นที่จำกัดและต้องการประสิทธิภาพสูงสุด แผงชนิดนี้จะให้กำลังวัตต์สูงกว่าต่อพื้นที่
  • โพลีคริสตัลไลน์: หากมีพื้นที่กว้างขวางและต้องการประหยัดงบประมาณ แผงชนิดนี้เป็นทางเลือกที่คุ้มค่า

 

4. งบประมาณ

 

  • ค่าใช้จ่ายเริ่มต้น: ระบบโซลาร์เซลล์มีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับขนาดและชนิดของอุปกรณ์
  • ระยะเวลาคืนทุน: การลงทุนในโซลาร์เซลล์เป็นการลงทุนระยะยาว ควรพิจารณาระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 3-7 ปี ขึ้นอยู่กับขนาดระบบและค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้

 

5. ปัจจัยอื่นๆ

 

  • สภาพอากาศในพื้นที่: พื้นที่ที่มีแสงแดดจัดจ้านตลอดปีจะเหมาะกับการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์มากกว่า
  • ข้อกำหนดของการไฟฟ้า: การติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์แบบ On-Grid ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของการไฟฟ้าในพื้นที่ของคุณ
  • ผู้ติดตั้งมืออาชีพ: ควรปรึกษาและให้ผู้เชี่ยวชาญด้านโซลาร์เซลล์ประเมินพื้นที่และคำนวณขนาดระบบที่เหมาะสมให้ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด

ตัวอย่างการคำนวณอย่างง่าย (สำหรับระบบ On-Grid):

สมมติว่าบ้านของคุณใช้ไฟฟ้าเฉลี่ย 500 หน่วย (kWh) ต่อเดือน และคุณต้องการให้โซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 80% ของการใช้ทั้งหมด (เพราะส่วนใหญ่จะใช้ไฟกลางคืนด้วย)

  • เป้าหมายการผลิตไฟฟ้า: 500 kWh/เดือน * 0.8 = 400 kWh/เดือน
  • การแปลงเป็นกำลังวัตต์ (โดยประมาณ):
    • โดยทั่วไป แผงโซลาร์เซลล์ 1 kWp (กิโลวัตต์พีค) สามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 4-5 kWh ต่อวัน (ขึ้นอยู่กับสภาพแสงแดดในพื้นที่)
    • ดังนั้น หากต้องการ 400 kWh/เดือน (หรือประมาณ 13.3 kWh/วัน) คุณอาจจะต้องใช้ระบบขนาดประมาณ 3-4 kWp
      • 13.3 kWh/วัน / 4 kWh/วัน/kWp = 3.325 kWp
  • จำนวนแผง: หากใช้แผงขนาด 400 วัตต์ต่อแผง (0.4 kWp)
    • 3.325 kWp / 0.4 kWp/แผง = ประมาณ 8-9 แผง

ข้อควรจำ: นี่เป็นเพียงการคำนวณเบื้องต้นเท่านั้น การประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญจะแม่นยำและเหมาะสมกับสภาพหน้างานจริงมากกว่าค่ะ

หากคุณมีข้อมูลการใช้ไฟฟ้าโดยเฉลี่ยต่อเดือน หรือขนาดพื้นที่ที่ต้องการติดตั้ง สามารถบอกเพิ่มเติมได้นะคะ ดิฉันจะช่วยแนะนำให้ได้ละเอียดมากขึ้นค่ะ


แผงโซล่าเซลล์-1-1.png

เยี่ยมเลยค่ะ! การทำความเข้าใจประเภทของแผงโซลาร์เซลล์จะช่วยให้คุณเลือกแผงที่เหมาะสมกับความต้องการและสภาพแวดล้อมการติดตั้งได้ดีที่สุด มาดูกันทีละประเภทนะคะ


 

1. แผงโซลาร์เซลล์ชนิดโมโนคริสตัลไลน์ (Monocrystalline Silicon Solar Cells)

 

คุณสมบัติ:

  • ผลิตจากซิลิคอนบริสุทธิ์ที่มีโครงสร้างผลึกเดี่ยว ทำให้มีประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้าสูงที่สุดในบรรดาแผงโซลาร์เซลล์ที่ใช้ซิลิคอนเป็นหลัก
  • ลักษณะเด่น: มีสีเข้มหรือดำสนิท และเซลล์แต่ละชิ้นจะเป็นสี่เหลี่ยมตัดมุมทั้งสี่ด้าน (เหมือนสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดเล็กๆ)
  • ประสิทธิภาพ: เฉลี่ย 18-23% หรือสูงกว่า

ข้อดี:

  • ประสิทธิภาพสูง: ผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าต่อพื้นที่ ทำให้เหมาะสำหรับพื้นที่ติดตั้งจำกัด
  • ทำงานได้ดีในสภาวะแสงน้อย: สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ดีกว่าแผงชนิดอื่นเมื่อมีแสงแดดไม่จัดจ้านหรือในสภาพอากาศที่มีเมฆมาก
  • อายุการใช้งานยาวนาน: โดยเฉลี่ยประมาณ 25-40 ปี

ข้อเสีย:

  • ราคาสูง: มีราคาแพงที่สุดเมื่อเทียบกับแผงชนิดอื่น เนื่องจากกระบวนการผลิตซับซ้อนและใช้วัสดุซิลิคอนบริสุทธิ์สูง
  • ไวต่ออุณหภูมิ: ประสิทธิภาพอาจลดลงเล็กน้อยเมื่ออุณหภูมิสูงมาก (แต่ในทางปฏิบัติไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก)
  • ความไวต่อการบังแสง: หากมีคราบสกปรกหรือเงาบดบังเพียงบางส่วนของแผง อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าของทั้งแผงได้มากกว่าชนิดอื่น

เหมาะกับการใช้งานแบบไหน:

  • บ้านเรือนหรืออาคารที่มีพื้นที่จำกัด: ต้องการผลิตไฟฟ้าให้ได้มากที่สุดจากพื้นที่ที่มีอยู่
  • ผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด: เน้นการผลิตไฟฟ้าที่ได้ผลตอบแทนคุ้มค่าในระยะยาว
  • พื้นที่ที่มีแสงแดดปานกลางถึงน้อย: สามารถผลิตไฟฟ้าได้ดีแม้ในวันที่แสงแดดไม่จัด

 

2. แผงโซลาร์เซลล์ชนิดโพลีคริสตัลไลน์ (Polycrystalline Silicon Solar Cells)

 

คุณสมบัติ:

  • ผลิตจากซิลิคอนหลอมรวมกัน ทำให้มีโครงสร้างผลึกหลายเหลี่ยม
  • ลักษณะเด่น: มีสีฟ้าหรือน้ำเงิน และเซลล์แต่ละชิ้นเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสเต็ม ไม่มีการตัดมุม
  • ประสิทธิภาพ: เฉลี่ย 15-18%

ข้อดี:

  • ราคาถูกกว่า: มีราคาถูกกว่าแผงโมโนคริสตัลไลน์ เนื่องจากกระบวนการผลิตง่ายกว่าและใช้วัตถุดิบน้อยกว่า
  • ทนต่อความร้อนได้ดีกว่าเล็กน้อย: มีแนวโน้มที่จะทำงานได้ดีในอุณหภูมิที่ร้อนจัดได้ดีกว่าโมโนคริสตัลไลน์เพียงเล็กน้อย
  • เป็นมิตรกับงบประมาณ: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการติดตั้งโซลาร์เซลล์แต่มีงบประมาณจำกัด

ข้อเสีย:

  • ประสิทธิภาพต่ำกว่า: ผลิตไฟฟ้าต่อพื้นที่ได้น้อยกว่าแผงโมโนคริสตัลไลน์ ทำให้ต้องใช้พื้นที่ติดตั้งมากกว่าหากต้องการกำลังไฟฟ้าเท่ากัน
  • ไม่เหมาะกับพื้นที่จำกัด: หากพื้นที่ติดตั้งมีจำกัด แผงชนิดนี้อาจไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอตามความต้องการ
  • ทำงานได้ไม่ดีเท่าในสภาวะแสงน้อย: ประสิทธิภาพจะลดลงค่อนข้างมากเมื่อแสงแดดไม่จัด

เหมาะกับการใช้งานแบบไหน:

  • บ้านเรือนหรืออาคารที่มีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอ: ไม่ติดปัญหาเรื่องพื้นที่ติดตั้ง
  • ผู้ที่มีงบประมาณจำกัด: ต้องการลดค่าใช้จ่ายเริ่มต้นในการติดตั้ง
  • พื้นที่ที่มีแสงแดดจัดจ้านตลอดวัน: สามารถดึงประสิทธิภาพสูงสุดของแผงชนิดนี้ออกมาได้ดี

 

3. แผงโซลาร์เซลล์ชนิดฟิล์มบาง (Thin-Film Solar Cells)

 

คุณสมบัติ:

  • ผลิตโดยการเคลือบสารกึ่งตัวนำบางๆ (เช่น อะมอร์ฟัสซิลิคอน Cadmium Telluride หรือ Copper Indium Gallium Selenide) ลงบนพื้นผิวต่างๆ
  • ลักษณะเด่น: มีความบางและยืดหยุ่นกว่าแผงชนิดผลึกซิลิคอน มีสีเข้มหรือดำสม่ำเสมอ
  • ประสิทธิภาพ: ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับแผงชนิดผลึกซิลิคอน (เฉลี่ย 10-12%)

ข้อดี:

  • ราคาถูกที่สุด: มีต้นทุนการผลิตต่ำที่สุด ทำให้ราคาต่อวัตต์ถูกที่สุด
  • น้ำหนักเบาและยืดหยุ่น: สามารถติดตั้งบนพื้นผิวโค้งงอได้ และไม่เพิ่มภาระน้ำหนักโครงสร้างมากนัก
  • ทนต่อความร้อนได้ดี: ประสิทธิภาพลดลงน้อยกว่าเมื่ออุณหภูมิสูงมาก
  • ทำงานได้ดีในสภาวะแสงแดดบางส่วน: แม้บางส่วนของแผงถูกบังแสง ก็ยังสามารถผลิตไฟฟ้าได้อยู่ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อทั้งแผงมากนัก

ข้อเสีย:

  • ประสิทธิภาพต่ำ: ต้องใช้พื้นที่ติดตั้งจำนวนมากเพื่อผลิตไฟฟ้าในปริมาณที่เท่ากันกับแผงชนิดอื่น
  • อายุการใช้งานสั้นกว่า: โดยทั่วไปมีอายุการใช้งานประมาณ 10-20 ปี ซึ่งสั้นกว่าแผงผลึกซิลิคอน
  • ไม่เหมาะสำหรับระบบขนาดใหญ่ที่ต้องการกำลังไฟสูง: เนื่องจากต้องใช้พื้นที่มากและผลิตไฟได้น้อย

เหมาะกับการใช้งานแบบไหน:

  • การใช้งานขนาดเล็กและไม่ต้องใช้พลังงานมากนัก: เช่น ไฟส่องสว่างในสวน, เครื่องคิดเลขพลังงานแสงอาทิตย์, หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก
  • พื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านน้ำหนักหรือพื้นผิวไม่เรียบ: เช่น บนหลังคารถยนต์, เรือ, หรืออาคารที่มีโครงสร้างไม่แข็งแรงมาก
  • โครงการต้นทุนต่ำ: เมื่องบประมาณเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด และมีพื้นที่ติดตั้งเหลือเฟือ

 

แผงโซลาร์เซลล์ชนิด N-type (และอื่นๆ ที่กำลังพัฒนา)

 

นอกจาก 3 ชนิดหลักข้างต้นแล้ว ยังมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กำลังพัฒนาและเริ่มนำมาใช้งาน เช่น:

  • แผงโซลาร์เซลล์ N-type: เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ซิลิคอนชนิด N ซึ่งแตกต่างจาก P-type ทั่วไป ทำให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและทนทานต่อปรากฏการณ์ LID (Light-Induced Degradation) หรือการเสื่อมสภาพจากการได้รับแสงครั้งแรกได้ดีกว่า อายุการใช้งานยาวนาน และประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ
  • แผงโซลาร์เซลล์ Half-Cut Cell / Bifacial: แผงที่ตัดเซลล์เป็นครึ่ง เพื่อลดการสูญเสียพลังงาน และแผงที่รับแสงได้ทั้งสองด้าน (ด้านหน้าและด้านหลัง) เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
  • แผงโซลาร์เซลล์ Perovskite: เป็นวัสดุชนิดใหม่ที่กำลังได้รับการวิจัยอย่างมาก มีศักยภาพในการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่ถูกลงมากในอนาคต

สรุปการเลือกใช้งาน:

  • เน้นประสิทธิภาพสูงสุดและพื้นที่จำกัด: เลือก โมโนคริสตัลไลน์
  • เน้นประหยัดงบประมาณและมีพื้นที่เพียงพอ: เลือก โพลีคริสตัลไลน์
  • เน้นน้ำหนักเบา, ยืดหยุ่น, หรือต้นทุนต่ำสำหรับการใช้งานที่ไม่ซับซ้อน: เลือก ฟิล์มบาง

การเลือกแผงโซลาร์เซลล์ที่เหมาะสมที่สุดขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งงบประมาณ, พื้นที่ติดตั้ง, ความต้องการใช้ไฟฟ้า, และสภาพอากาศในพื้นที่ของคุณค่ะ

หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจของคุณนะคะ!